การขอขมากรรมกับพ่อแม่ ตอนท่านมีชีวิตอยู่ เป็นโอกาสทองของชีวิต

c99e3db826c0f4cc2688a36ce3b60e1a_L

นำมาจาก: เว็บ yantip.com
เขียนโดยคุณ: รักไร้พ่าย


มีใครที่ยังไม่เคยไปขอขมากรรมกับคุณพ่อคุณแม่บ้าง
หากคุณพ่อคุณแม่ยังมีชีวิตอยู่อย่ารีรอเลยครับ
เพราะ อ.ผู้มีญาณหลายๆท่านบอกผมตรงกันหมดเลยว่า
การขอขอมากรรมกับพ่อ แม่ ที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น
เป็น “นาทีทอง” หรือ เป็น “โอกาสทอง”
ที่จะสามารถหลุดบ่วงกรรมนั้นได้

เพราะการทำกรรมกับพ่อแม่นั้นถือเป็นกรรมหนักมาก
เช่น ตอนเราเกิดมาใหม่ๆยังเป็นทารก
ขณะที่เราดูดนมแม่และมือเราก็ไปข่วนโดนแม่
แม้จะไม่ได้ตั้งใจก็เป็นกรรมไปแล้ว

แล้วประสาอะไรกับที่เราเคยอาจ คิด พูด หรือ ทำไม่ดีกับท่านทำให้ท่านเสียใจ
แม้ท่านจะไม่ได้ถือโทษโกรธแล้ว แต่กรรมนั้นยังติดตัวเราทำให้เราไม่สามารถ
เจริญก้าวหน้าในชีวิตได้ ถึงจะดีก็ดีแค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น ตราบใดที่ยังไม่
ขออโหสิกรรมยากจะหลุดกรรมนี้ได้ ไม่ว่าเราจะทำบุญท่วมหัวแค่ไหน

เพราะการทำกรรมกับพ่อแม่เหมือนทำกับพระอรหันต์เลยครับ

อ.ประทีป บอกว่า หากพ่อแม่เรายังมีชีวิตอยู่ขอให้รีบไปขอขมากรรมโดยด่วน
ก่อนทุกอย่างจะสายไป เพราะเมื่อพ่อแม่เสียไปแล้ว
การจะแก้กรรมโดยอุทิศบุญไปให้ยากมาก
เพราะต้องทำไปเรื่อยๆเท่ากับจำนวนเงินค่าเลี้ยงดูที่ท่านเลี้ยงเรามา
แต่หากขออโหสิกรรมตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
เพียงแค่ท่านบอกยกโทษให้ กรรมก็หลุดแล้ว

แม่ชีทศพร ถือเรื่องนี้สำคัญมากๆ คนที่ผิดหวังความรักส่วนใหญ่เกิดจาก
ทำให้พ่อแม่ตัวเองเสียใจ

คนที่เคยใช้ให้พ่อแม้ล้างจานให้ คนที่ไปนั่งบนเตียงพ่อแม่นั้น ก็ติดกรรมมาแล้ว
คนที่เอาเสื้อผ้าไปซักรวมกับเสื้อผ้าพ่อแม่ในเครื่องซักผ้า
ทำให้ชีวิตคนนั้นสับสนหาทางออกไม่ได้

พี่ต้น พรหมพันกร บอกว่า หากเราไม่ขอโอหสิกรรมพ่อแม่เราตอนยังมีชีวิต
อยู่ก็ยากจะพบความเจริญในชีวิต ทำอะไรจะต้องติดขัดไปหมด

เคยมีผู้ชายคนหนึ่ง ที่ตายไป แต่ตายเพราะถูกเจ้าหน่าที่
ในแดนนรกจับผิดตัวไป ขณะที่เขาอยู่ในนรกได้ไปชมขุมนรกต่างๆ
แสนทรมานมาก ทั้งกะทะทองแดง ต้นงิ้ว
วิญญาณร้องโหยหวนเพราะทรมาน เจ้าหน้าที่นั้นได้พาผู้ชายคนนั้น
ไปดูอีกขุมนรกหนึ่งที่ลึกกว่า ขุมกะทะทองแดง และ ต้นงิ้ว
ไปลงไปลึกมาก นั่นคือขุมที่คนที่เคยทำไม่ดีกับพ่อแม่ และไม่ได้ขออโหสิกรรม
วิญาณนั้นทรมานเจ็บปวดมาก และโอกาสจะกลับมาเกิดใหม่นั้นยากเพราะยาวนานมาก โดยเฉพาะคนที่เคยด่าทอพ่อแม่ คิดแช่งพ่อแม่ในใจ

เมื่อคนนั้นเขาได้กลับฟื้นขึ้นมา เขาได้อุทิศตนป่าวประกาศกับผู้คนที่ยังมีชีวิตให้
ขออโหสิกรรมกับพ่อแม่ตอนท่านยังมีชีวิต เพราะเป็นโอกาสเดียวที่ท่าน
ไม่ต้องพบกับความวิบัติในชีวิตในชาตินี้ และต้องไปอยู่ณ นรกขุมนั้นหลังจากตายไปแล้ว

วิธีขอขมากรรม เพียงแต่ท่าน นำดอกมะลิ หรือ พวงมาลัยไปและกราบเท้าท่าน
และบอกกับท่านว่า

“กรรมใดที่ลูกได้เคย คิด พูด หรือทำไม่ดีกับคุณพ่อคุณแม่
ทั้งที่เจตนาหรือไม่เจตนา ทั้งจำได้หรือจำไม่ได้
ขอให้ท่านโปรดยกโทษ อโหสิกรรมให้ลูกด้วยเถิด”

แล้วก็ให้มอบดอกมะลิให้ท่านและกราบแทบเท้าท่าน
เมื่อพ่อแม่บอกว่ายกโทษให้ ก็จบ
ควรทำบ่อยๆ หรือหาโอกาสเหมาะๆทำเช่นนี้จะยิ่งดีครับ

 


PALM เขียน:

พอดีว่า บังเอิญผ่านไปอ่านเจอทางเน็ต เห็นว่าเป็นเรื่องที่ดี จึงนำมาเก็บเอาไว้อ่านเองอีกหลายๆครั้ง

ตอนที่ได้อ่านบทความนี้ครั้งแรกจบปุ๊บ ข้าพเจ้าก็รีบทำในทันที คือเดินไปหาท่านแม่ที่ห้องแล้วกราบแทบเท้าขอขมาท่าน แต่ไม่มีพวงมาลัย หรือดอกมะลิไปด้วยหรอก ไม่สะดวกจะหามาในขณะนั้น แต่ข้าพเจ้าก็เชื่อว่า ถ้าไม่มีก็ไม่จำเป็นนัก เพราะจริงๆแล้วขึ้นอยู่กับเจตนา และความตั้งใจจริงมากกว่า ว่าเราสำนึกได้จริงหรือเปล่า ..ก็ได้ขอขมากับแม่แล้ว และพยายามจะทำอยู่บ่อยๆ เท่าที่ระลึกได้

ทุกครั้งที่ได้อ่านบทความนี้ ก็มักจะกระตุ้นเตือนให้เราสำนึก และปฏิบัติอีกซ้ำๆบ่อยๆ เพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่า หลังจากขอขมากรรมกับท่านไปแล้ว ตัวเองยังได้เผลอทำผิดซ้ำๆกับท่านอีกหรือเปล่า ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจ ไม่รู้ไม่เจตนาก็ตาม   แต่ก็พยายามจะมีสติ และระมัดระวังที่จะไม่ทำเช่นนั้นอีกเมื่อระลึกได้

การมีสติอยู่กับตัว และตามดูจิตของตัวเองตลอดจึงเป็นเรื่องสำคัญทีเดียว หากไม่ระวัง ควบคุมให้ดี

ก็อาจจะทำให้เรา คิดผิด พูดผิด ทำผิด พลาดเอาได้

….จงอย่าไปเพ่งโทษผู้อื่น ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดมากระทบต่อตัวเรา ไม่ว่าดีหรือร้าย ให้พิจารณาดูที่ตัวเรา..ใจเราเองก่อน เป็นอันดับแรก      …. นี้เป็นสิ่งที่พยายามฝึกตัวเองมาอยู่เสมอๆ ให้พยายามทำให้ได้เช่นนี้ทุกๆครั้ง  แล้วจะรู้สึกว่าปล่อยวาง เบา โล่ง และไม่เป็นทุกข์ ฟุ้งซ่าน หรือทุรนทุราย

ขอบอก ว่าถึงจะเขียนเล่าเช่นนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าปาล์มจะปฏิบัติได้อย่างนี้ทุกๆครั้งหรอก (หมายถึงการตามดูจิต) มันก็มีเหมือนกันค่ะที่เผลอตัว ลืมตัว ทำไม่ได้ แต่ก็เชื่อว่า การหมั่นทำบ่อยๆ จะทำให้เกิดการพัฒนาทางจิต ไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆอย่างแน่นอน

หมายเหตุ: เรื่อง เล่านี้อาจจะเห็นว่าปาล์มไม่ได้พูดถึง คุณพ่อเลย พูดถึงแต่คุณแม่ ก็เนื่องด้วยว่าไม่ได้อาศัยอยู่ด้วยกัน อยู่กันคนละประเทศ ข้าพเจ้าจึงยังไม่มีโอกาสได้ขอขมากรรมกับคุณพ่อได้บ่อย อย่างที่ใจอยากจะทำ แต่ก็ตั้งใจว่า หากกลับเมืองไทยเจอคุณพ่อ ก็จะทำเช่นนี้แน่ๆค่ะ


 

เสวนาชาวพุทธ

ใส่ความเห็น